ชุมชนบ้านคลองเรือสู่โรงเรียนเศรษฐกิจพอเพียง
การเลี้ยงดูอบรมบ่มสอนบุตรหลานให้เติบโตขึ้นเป็นคนดีที่มีค่าของสังคม เป็นหน้าที่อันยิ่งใหญ่ของผู้ที่ได้ชื่อว่าพ่อแม่ สอนดีได้ดี สอนชั่วได้ชั่ว สอนให้ดีแต่ทำชั่วให้เห็น ก็เป็นไปไม่ได้ที่บุตรหลานจะไม่เอาเยี่ยงอย่างในสิ่งที่เห็น สัมผัส และเรียนรู้ จนเกิดการซึมซับ ดังคำกล่าวที่ว่าปลูกมะม่วงย่อมได้ผลมะม่วง ฉันใดก็ฉันนั้น ครอบครัวจึงมีความสำคัญอันดับแรก ในการที่จะปลูกต้นกล้าแห่งจิตสำนึกแก่มนุษย์ เป็นสถาบันทางสังคมแห่งแรกที่เด็กๆ ได้รู้จัก และใกล้ชิด
ชุมชนบ้านคลองเรือ ม.8 ต.ขุนทะเล อ.เมือง จ.สุราษฎร์ธานี แหล่งรวมคนดีแห่งเมืองปักใต้ ที่ตั้งของโรงเรียนเศรษฐกิจพอเพียง ชุมชนแห่งการเรียนรู้ร่วม ชุมชนอยู่ดีมีสุข เพื่อการพึ่งพาตนเอง ภายใต้กระบวนทรรศในการขับเคลื่อนปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ร่วมกันซึ่งมุ่งเน้นที่การพัฒนาคนเป็นหลัก ดังประโยคทองของชาวชุมชนที่ว่า “ปลูกคนก่อนปลูกต้นไม้ ดับคนก่อนดับบ้านดับเมือง”
นายกฤษวิสุทธิ์ มะลิวงศ์ ผู้ใหญ่บ้าน ม.8 ต.ขุนทะเล อ.เมือง จ.สุราษฎร์ธานี ขยายความให้ฟังถึงความเป็นมาของโรงเรียนเศรษฐกิจพอเพียงบ้านคลองเรือ ว่า การก่อตัวของกลุ่มเกิดจากการพูดคุยถึงปัญหาของชุมชน และการยกระดับความรู้ให้แก่ชุมชน ให้โอกาสในการเรียนรู้ด้วยตนเองตามอัธยาศัยระหว่างแกนนำซึ่งเน้นคนรุ่นใหม่ ชุมชนคลองเรือมีปราชญ์ชุมชนกว่าสิบท่าน ทั้งด้านการเลี้ยงไก่พื้นเมือง เลี้ยงโคพื้นบ้าน โคชน เลี้ยงปลาในบ่อพลาสติก หลักสูตรของเราใช้วิธีการถอดบทเรียน โดยไม่มีอาจารย์สอน ตั้งหลักสูตรเอง เป็นหลักสูตรเพื่อปากเพื่อท้อง ประเมินผลด้วยผลสำเร็จของงาน
ขณะนี้ได้ขยายผลการเรียนรู้สู่ชุมชนใกล้เคียง โรงเรียนแห่งนี้ไม่มีวันปิด ไม่มีวันหยุด ไม่ต้องแต่งเครื่องแบบประกาศนียบัตรที่ได้ คือผลงานและความภาคภูมิใจ ริเริ่มด้วยการปลูกทุกอย่างที่กินได้ กินทุกอย่างที่ปลูก เพื่อลดรายจ่ายจากวิถีชีวิตที่ชาวบ้านมักจะปลูกพืชเชิงเดี่ยว เช่น ยางพารา ปาล์มน้ำมัน และผลไม้ต่างๆ เราคิดที่จะปลูกพืชเชิงเสริมเริ่มด้วยการปลูกไผ่หวาน ปัจจุบันยกระดับเป็นวิสาหกิจชุมชนบ้านคลองเรือ สิ่งที่คิดตามมาคือพื้นดินในชุมชนซึ่งเป็นดินปนทราย ไม่อุ้มน้ำ ทำอย่างไรเราจึงจะเลี้ยงปลาไว้กินได้ในครัวเรือน ทาง กศน.เมืองสุราษฎร์ธานี ก็ได้พาไปศึกษาดูงานที่ จ.พัทลุง กลับมาทำบ่อปลา 10 ครัวเรือน แล้วยังปลูกผักบุ้งผักกระเฉด เลี้ยงหอยขม สืบเนื่องไปถึงการเลี้ยงหมูพื้นบ้านขณะนี้มีหมู 5 เล้า เป็นแม่พันธุ์ประมาณ 50 ตัว เฉพาะที่บ้านเองมีแม่พันธุ์อยู่ 11 ตัว จะสามารถผลิตลูกเพื่อจำหน่ายได้ปีละ 200 ตัวๆ ละ 500 บาท ขณะนี้มีคนสั่งจองไว้หมดแล้ว ผลิตไม่ทัน นอกจากนี้ยังสามารถนำขี้หมูมาทำปุ๋ยมูลสัตว์ได้อีก เพราะเปลือกไผ่ หญ้าทุกชนิด ที่ตัดมาให้หมูกิน จะถูกแปรสภาพมาเป็นปุ๋ยหมักอย่างดีไว้ใช้ในหมู่บ้าน เป็นการหมุนเวียนทรัพยากรในชุมชนอย่างครบวงจร
ผญบ.กฤษวิสุทธิ์ เล่าต่อว่า เศรษฐกิจพอเพียง เป็นปรัชญาแนวทางการดำเนินชีวิตที่ต้องใช้การเรียนรู้ตลอดชีวิต พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้ให้หลักการในเรื่องของความมีเหตุผล ความพอประมาณ และภูมิคุ้มกันชีวิต แต่ในเรื่องของวิธีทำเศรษฐกิจพอเพียงของบ้านคลองเรือให้สำเร็จนั้น เป็นเรื่องที่ชาวชุมชนบ้านคลองเรือเองจะต้องคิดค้นหารูปแบบเอาเอง นี่คือคำตอบว่าทำไมต้องมีโรงเรียนเศรษฐกิจพอเพียงบ้านคลองเรือ ที่จัดบรรยากาศการเรียนรู้โดยครูชาวบ้าน เรียนกันเอง สอนกันเอง หลักสูตรคิดเองตามความถนัดของชุมชน เรียนได้ทุกเพศทุกวัย ไม่มีวันหยุดเสาร์อาทิตย์หรือนักขัตฤกษ์ เรียนรู้ได้ตามอัธยาศัย นี่คือวิธีการของการ “ปลูกคน” ก่อน “ปลูกต้นไม้” และ “ดับคน” ก่อน“ดับบ้านดับเมือง” ดับความเดือดร้อนของคนในชุมชนได้ ก็ดับความรุ่มร้อนของบ้านเมืองได้เช่นกัน
สิ่งที่ค้นพบจากการขับเคลื่อนโรงเรียนเศรษฐกิจพอเพียงของบ้านคลองเรือ คือ บทเรียนชุมชนบ้านคลองเรือที่บ่งบอกถึงกระบวนการเรียนรู้และการทำงานอย่างมีส่วนร่วม ผ่านผู้นำที่เข้มแข็ง ซึ่งถือเป็นหัวใจสำคัญของการพัฒนาเชื่อมโยงบูรณาการ แลกเปลี่ยนความรู้กับเครือข่าย นำไปสู่แผนชุมชน มีการวิเคราะห์สภาพปัญหา และหาวิธีแก้ไขปัญหาของชุมชน ทำให้ชุมชนเข้มแข็ง นอกจากนี้ ชุมชนบ้านคลองเรือ ยังตระหนักถึงความสำคัญของการสืบทอดประสบการณ์และงานชุมชนผ่านภูมิปัญญาท้องถิ่น เพื่อความยั่งยืนของชุมชน โดยนำเยาวชนและคนรุ่นหลังเข้ามาร่วมเรียนรู้และรับผิดชอบงานของชุมชนอย่างเต็มตัว และให้ความสำคัญกับศักยภาพในการพึ่งพาตนเองของคนในชุมชนมากขึ้น
นายปรเมศวร์ สุขมาก ผอ.ส่งเสริมและพัฒนานวัตกรรมการเรียนรู้ สำนักงาน กศน. สำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ เล่าถึงภารกิจในการพัฒนาแหล่งเรียนรู้ของชุมชน ว่า มีหลายคนตั้งคำถามว่าการศึกษาตามอัธยาศัยคืออะไร และมีประโยชน์อย่างไร ที่ผ่านมา กศน.ได้จัดโครงการพัฒนาแหล่งเรียนรู้ตลอดชีวิตขึ้นใน10 จังหวัดนำร่อง โดยใช้แหล่งการเรียนรู้หรือภูมิปัญญาท้องถิ่นเป็นเครื่องมือหรือกลไกในการพัฒนาคนและชุมชน โดยใช้กระบวนการทางการศึกษาตามอัธยาศัยเป็นเครื่องมือที่สำคัญ ซึ่งได้ข้อสรุปออกมาตรงกันว่า “การศึกษาตามอัธยาศัย คือ การสร้างสภาพบรรยากาศของสภาพแวดล้อมต่างๆ ที่อยู่ในชุมชน คือ แหล่งที่อยู่อาศัย แหล่งทำมาหากิน ให้ความรู้กับชุมชน โดยอาจจะไม่ต้องจัดการศึกษาเลย อาจจะไม่ต้องมีครูหรือหลักสูตร ไม่ต้องมีกระบวนการที่ยุ่งยาก ผู้เรียนก็เรียนตามสภาพวิถีชีวิตของเขาเอง การพัฒนารูปแบบ ๆ นี้ เป็นรูปแบบที่มีความชัดเจนแล้วว่า แหล่งเรียนรู้ต่างๆ ที่อยู่ในวิถีชีวิตของชุมชน เช่น ตัวผู้นำชุมชน ตัวชาวบ้านเอง พื้นที่เรือกสวนไร่นา เป็นแหล่งเรียนรู้ที่สำคัญยิ่งที่คนในชุมชนจะมาเรียนรู้สิ่งที่ดีงาม สิ่งที่ประสบความสำเร็จ ในแง่ของการทำงาน การประกอบอาชีพ ซึ่งสามารถเรียนรู้ได้ในชุมชน และชุมชนก็มีศักยภาพ มีความรู้มากมายและประสบความสำเร็จได้" ซึ่งใน 10 จังหวัดนำร่องที่ได้ทดลองจัดการศึกษาดังกล่าวประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี สามารถค้นหาผู้นำของชุมชน และภูมิปัญญาของชุมชนที่นำมาใช้พัฒนาชุมชนของตนเองได้และใช้กระบวนการการศึกษาตามอัธยาศัย เรียนรู้ตามวิถีชีวิตการทำงาน ระดับความสำเร็จของแต่ละชุมชนที่เข้าไปดำเนินงานอาจจะแตกต่างกันมากบ้างน้อยบ้าง บางแห่งได้เป็นชุมชนตัวอย่าง ระดับประเทศ ชุมชนบ้านคลองเรือ ของ จ.สุราษฎร์ธานี ก็เป็นตัวอย่างที่ดีของการศึกษาตามอัธยาศัยอีกแห่งหนึ่งที่น่สนใจ ทีเดียว
ศักยภาพของชุมชน ในเรื่องของการพัฒนาแหล่งเรียนรู้ เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของคนในชุมชนเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ทุกภาคส่วนของสังคม ควรจะหันมามองและให้ความสำคัญกันมากขึ้น เพราะสิ่งเหล่านี้ จะเป็นพลังบริสุทธิ์ที่มีความเข้มแข็งและมั่นคง สามารถเสริมสร้างรากฐานของประเทศให้เป็นปึกแผ่นได้อย่างยั่งยืนต่อไป ที่สำคัญเป็นอีกหนทางหนึ่งที่จะทำให้พ่อหลวงมีความสุข เพราะลูกๆเข้าถึงและเข้าใจปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของพ่อได้อย่างแท้จริง...
โดย ณัฐมน ไทยประสิทธิ์เจริญ